ตัวนี้ที่ว่าคือ “ข้าวบาร์เลย์” แล้วมันคืออะไร ถามเองตอบเองเลย เป็นเมล็ดธัญพืชคล้ายลูกเดือยแต่มีขนาดเล็กว่า นิยมปลูกในแถบเมืองหนาว ส่วนประเทศไทยปลูกในภาคเหนือและอิสานเนื่องจากมีอุณหภูมิต่ำเหมาะแก่การเพาะปลูก เมล็ดข้าวบาร์เลย์ นำไปเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการแปรรูป เป็นผลิตภัณฑ์อาหาร หลายชนิด ได้แก่ มอลต์ เบียร์

ข้าวบาร์เลย์ มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง มีความโดดเด่นในด้านของการควบคุมน้ำตาลในเลือด มีงานวิจัยหนึ่งพบว่า หากกินข้าวบาร์เลย์สุกในมื้อเย็น เช้าวันถัดมาจะพบว่าร่างการสามารถลดความไวของอินซูลินดีขึ้น 30% นอกจากนั้น ข้าวบาร์เลย์สามารถลดระดับน้ำตาลกลูโคสได้ดีกว่าทานข้าวทั่วไป เพราะว่าเราต้องทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำที่สุด เพื่อที่จะทำให้ไขมันสะสมในร่างกายนั้นน้อยตามไปด้วย

ข้าวพันธุ์นี้ยังมีแคลอรี่อยู่ในระดับต่ำ แต่มีโปรตีนสูงอุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นช่วยให้ร่างกายไม่อยากอาหาร มีใยอาหารมากช่วยให้อยู่ท้อง อิ่มนาน นับได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ดีในการลดน้ำหนัก ยังช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย อันเป็นสาเหตุของโรงมะเร็ง และโรคอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่กลับช่วยในเรื่องของการย่อยอาหาร รวมถึงช่วยให้ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ร่างกายมีภูมิคุ้นกันมากขึ้น

“เหมาะแก่การขาย คู่กับสลัดมาก”

กำไร 600%

เหตุที่กำไรเยอะขนาดนี้เพราะเมล็ดข้าวบาร์เลย์ราคาไม่แพง แปรรูปให้สุกได้ง่าย รสชาติดีเยี่ยม ที่สำคัญคนชอบ มาดูที่มาของกำไรกัน

ซื้อข้าวบาร์เลย์ 40 บาท ต่อกิโลกรัม*

ได้ข้าวบาร์เลย์สุก 2,800 กรัม

สมมติขาย หน่วยละ 1/4 ถ้วย หรือ 50 กรัม ในราคา 5 บาท

ขายได้ทั้งหมด 2,800/50 = 56 หน่วย

รายได้ทั้งหมด 56 x 5 = 280 บาท

กำไรเบื้องต้น = รายได้ – ต้นทุนวัตถุดิบ = 280 – 40 = 240 บาท

เปอร์เซ็นต์ กำไร = (240/40) x 100 = 600%

กำไรดีขนาดนี้ ไม่น่าเอาวัตถุดิบตัวนี้ไปขายหรอ แค่รู้วิธีการเตรียมเพื่อให้ข้าวบาร์เลย์สุกแล้วนุ่ม อร่อย ก็ได้เปรียบใครหลายๆ คนแล้ว

ติดตามบทความหน้า เราจะมาต่อกันที่ วิธีการแปรรูปข้าวบาร์เลย์ให้สุก

*ราคาข้าวบาร์เลย์ต่อกิโลกรัมขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และร้านที่จำหน่าย

เราอยากให้ทุกครอบครัวมีสุขภาพที่ดี

สลัดครีเอเตอร์

salad creator club