ทำไมต้องชาดำ

ความจริงแล้วนุชซื้อชาดำมาทำคอมบูชาที่เคยเขียนบทความไปก่อนหน้านี้ จนมาวันหนึ่งนุชเกิดอาการท้องเสียจากอาหารเป็นพิษแบบว่าเข้าห้องน้ำเกือบ 20 รอบ โชคดีมีเพื่อนเป็นพยาบาลที่คอยให้คำปรึกษาตลอดว่าทุกครั้งที่ถ่ายเหลวออกไปต้องดื่มน้ำหรือเกลือแร่เท่ากับปริมาณที่ถ่ายเพื่อจะทำให้เราไม่ช็อคจากการสูญเสียน้ำ อาการท้องเสียครั้งนั้นของนุชหนักมาก คือท้องเสีย ไข้ขึ้น ปวดหัว หมดเรี่ยวหมดแรง ทำอะไรไม่ได้เลย แม่ก็แนะนำว่าให้ต้มชาดื่มเพราะชามันฝาด ช่วยให้ถ่ายเป็นก้อน พอดีนุชมีชาดำอยู่แล้วเลยต้มดื่มปรากฏว่าดีจริง ไม่ถ่ายเหลวอีก เริ่มถ่ายเป็นก้อน รอดชีวิตมาได้ และดื่มชาดำมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ

ที่มาของชาดำ

พอนุชดื่มชาดำบ่อยๆ ก็รู้สึกชอบในกลิ่นและรสชาติ เลยศึกษาเพิ่มเติมว่าดื่มบ่อยๆ ได้มั้ย มีประโยชน์และโทษยังไงบ้าง ศึกษาแล้วก็อยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้รู้เหมือนกันค่ะ

ชาดำ (Black tea) คือ ชาที่ผ่านการแปรรูป ซึ่งได้มาจากการเก็บใบชาอ่อน  นำมาทำให้แห้งเพื่อลดปริมาณของน้ำลงบางส่วน แล้วนำใบชากึ่งแห้งนั้นไปคลึงหรือบดด้วยลูกกลิ้ง เพื่อให้ใบชาช้ำ ซึ่งเซลล์ในใบชาจะแตกช้ำโดยใบไม่ขาด และเอนไซม์ในเซลล์จะย่อยสลายสารเกิดเป็นกระบวนการหมัก ทำให้เกิดกลิ่นและรส จนใบชาเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีทองแดง เมื่อทิ้งไว้ระยะหนึ่งก่อนใช้ความร้อนเป่าไปที่ใบชา (หรืออาจนำใบชาไปอังไฟ หรือรมด้วยไอน้ำ) เอนไซม์จะหมดฤทธิ์ ใบชาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ เมื่อนำไปตากหรืออบให้แห้ง จากนั้นก็บดหรือหั่นตามแต่ชนิดของชา ซึ่งชาที่ได้มานี้จะเรียกว่า “ชาดํา”

จากการแปรรูปจะเห็นได้ว่า ชาดำเป็นชาที่ผ่านการหมักอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะแตกต่างจากชาอู่หลงตรงที่ชาอู่หลงนั้นใช้กระบวนการหมักแบบออกซิเดชั่น แต่ชาดำจะใช้กระบวนการหมักโดยแบคทีเรียเหมือนการเพาะบ่มไวน์ ซึ่งกระบวนการหมักนี้จะทำให้สามารถหมักชาได้อย่างเต็มที่ ยิ่งบ่มนานก็ยิ่งได้รสชาติที่ดี ซึ่งชาดำที่เป็นที่รู้จักมากและเป็นที่นิยมสูงก็คือ “ชาผู่เอ๋อร์” (Pu-erh) จากจีน และ “ชาอัสสัม” (Assam) จากอินเดีย (ชาอัสสัมคือชาที่นุชดื่มประจำ)

ชาดำจะมีรสชาติขมเล็กน้อย ให้รสชาติละมุนกลมกล่อม ชุ่มคอ และมีปริมาณของกาเฟอีนมากที่สุดในบรรดาชาด้วยกัน หรือประมาณ 40 มิลลิกรัมต่อถ้วย (แต่ก็ยังน้อยกว่าในกาแฟที่มีกาเฟอีนอยู่ 100 มิลลิกรัมขึ้นไป) ในเรื่องของรสชาติถ้าเปรียบเทียบชาดำกับชาเขียวแล้ว จะพบว่าชาดำจะมี monoterpene alcohols ซึ่งเป็นสารให้กลิ่นมากกว่าชาเขียว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีผู้คนนิยมกลิ่นของชาดำมากกว่า ส่วนสีของชาดำนั้นจะมีตั้งแต่สีน้ำตาลแดงไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ

ชาดำดีต่อสุขภาพยังไง

  • ชาดำนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ  ช่วยในการล้างสารพิษในร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ และช่วยในการชะลอวัย
  • ช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แก้อาการง่วงนอน
  • การดื่มชาดำเป็นประจำสม่ำเสมออาจจะช่วยทำให้ความจำดียิ่งขึ้น (รายงานของยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน)
  • ชาดำสามารถลดความเครียดได้ง่ายและฟื้นตัวจากความเครียดได้เร็ว (งานวิจัยของศาสตราจารญ์แอนดริว เตรบโต)
  • ดื่มชาดำวันละ 5 แก้ว จะมีระดับคอเลสเตอรอลเลว (LDL) ลดลงประมาณ 6-10% หลังการดื่มชาดำได้เพียง 3 สัปดาห์ (งานวิจัยของสหรัฐฯ (US. Department of Agriculture))
  • ช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลและไขมันเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ (งานวิจัยร่วมของมหาวิทยาลัย Dundee University และมหาวิทยาลัย The Scottish Crop Research Institute) 
  • การดื่มชาดำสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้  การดื่มชาดำส่งผลในระยะยาวต่อหลอดเลือด ซึ่งจากการทดลองกับอาสาสมัครจำนวน 50 ราย ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ดื่มชาดำ ส่วนกลุ่มที่สองให้ดื่มน้ำเปล่า ผลการทดลองพบว่ากลุ่มที่ดื่มชาดำวันละ 4 ถ้วย จะมีชั้นบางๆ ที่หลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจดีขึ้น แต่ในกลุ่มที่ดื่มน้ำเปล่าไม่มีผลใดๆ (นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา)
  • คนที่ดื่มชาดำประมาณ 3 ถ้วยต่อวัน จะมีโอกาสเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันลดลงถึง 21%
  • ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

โทษของการดื่มชาดำมากเกินไป

เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการดื่มชาและไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย เราควรดื่มชาในปริมาณที่เหมาะสม จากรายงานของ MedlinePlus กล่าวว่า ปริมาณสารคาเฟอีนที่เหมาะสมและปลอดภัยคือปริมาณคาเฟอีน 200 – 300 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งหากคิดเป็นแก้วชาขนาด 8 ออนซ์ ที่มีคาเฟอีนต่อแก้วปริมาณ 30 – 80 มิลลิกรัม นับเป็นปริมาณไม่เกิน 4 – 10 แก้วชาต่อวัน จึงจะเหมาะสมแก่ร่างกาย แต่หากบุคคลใดที่มีความเสี่ยงต่อการขาดธาตุเหล็ก ควรดื่มชาหลังจากรับประทานอาหารแล้วประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ

สรุปความคิดเห็นของนุช

ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ มีประโยชน์ก็มีโทษ เราต้องเดินทางสายกลาง นุชดื่มชาเป็นประจำได้สองเดือนแล้ว สูตรดื่มชาของนุชคือ ชาดำแห้ง 3 กรัมต่อน้ำครึ่งลิตรซึ่งมันคือขนาดของกาแช่ชาค่ะ แช่ช่วงเช้าจิบไปเรื่อยๆ 1 รอบ จากนั้นก็ใช้ใบชาเก่านั้นแช่น้ำร้อนช่วงบ่ายดื่มอีก 1 รอบ ดังนั้นปริมาณคาเฟอีนที่นุชได้รับไม่ถึง 100 มิลลิกรัมแล้วยังแบ่งสามีดื่มไปด้วยกัน มันก็จะจางๆ หน่อยค่ะ ข้อดีอีกอย่างคือนุชได้ดื่มน้ำร้อน น้ำอุ่นทั้งวันซึ่งดีต่อระบบร่างกายมากๆ สรุปคือดื่มชาดำแล้วดีค่ะ อ้อ! อย่าเผลอใส่นมหรือน้ำตาลเข้าไปนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก: medthai, trueplookpanya


ช่องทางติดต่อ สลัดครีเอเตอร์
โทร: 086 672 0607
Line id: @saladcreator หรือคลิก

เพิ่มเพื่อน